ธปท.ย้ำฐานะการเงินแบงก์ไทยแกร่ง กำกับดูแลตามมาตรฐานสากล

ธปท.ย้ำฐานะการเงินแบงก์ไทยแกร่ง กำกับดูแลตามมาตรฐานสากล

ธปท.ย้ำกำกับดูแลฐานะการเงินแบงก์เข้มตามมตรฐานสากล เงินกองทุนแกร่ง ผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงินในประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรปต่อระบบการเงินไทยน้อยมาก พร้อมติดตามสถานการณ์ใกล้ชิต

การเงิน

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากกรณี Regional Bank ของสหรัฐอเมริกาที่ประสบปัญหาต้องปิดกิจการ โดยทางการได้ออกมารับประกันการจ่ายคืนเงินฝากเต็มจำนวน และมีกลไกปล่อยสภาพคล่องให้ระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ยังมีกรณีธนาคาร Credit Suisse (CS) ที่เกิดปัญหาด้วยสาเหตุที่ต่างกัน โดย CS มีปัญหาสะสมมาก่อนหน้า และมีผลขาดทุนสูงต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อมีข่าวว่าผู้ถือหุ้นรายสำคัญมีข้อจำกัดในการเพิ่มทุนให้ CS จึงกระทบความเชื่อมั่นของตลาด จนธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และผู้กำกับดูแลต้องให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง และล่าสุด ภาครัฐได้จัดการให้ธนาคาร UBS เข้าซื้อหุ้นของ CS เพื่อรวมกิจการและระงับไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามแล้ว

ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวใกล้ชิด และประเมินว่าผลกระทบจากเหตุการณ์ข้างต้นต่อระบบการเงินไทยมีจำกัด จากธุรกรรมของภาคธนาคารและกองทุนประเภทต่างๆ ที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกัน การกำกับดูแล ธพ. ไทยเป็นไปตามมาตรฐานสากลที่เข้มงวด โดยบังคับใช้เกณฑ์ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่องกับธนาคารทุกแห่ง ขณะที่บางประเทศ เช่น สหรัฐฯ จะเน้นการกำกับดูแลที่เข้มงวดกับ ธพ. ขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นหลัก ขณะที่ ธพ. ขนาดกลางและเล็กการบังคับใช้เกณฑ์บางอย่าง เช่น เกณฑ์สภาพคล่องจะไม่เข้มงวดเท่า

ในปัจจุบัน ภาพรวมระบบ ธพ. ไทยมีความมั่นคง ข้อมูล ณ สิ้นปี 2565 ระบบ ธพ. ไทยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) 19.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดที่ 8.5% โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ (Common Equity Tier 1 : CET1) นอกจากนี้ สินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage ratio : LCR) ยังอยู่ในระดับสูงที่ 197.3% และมีหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ในระดับต่ำที่ 2.73% ขณะที่เงินสำรองต่อหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL Coverage ratio) สูงถึง 171.9% ซึ่งถือเป็นสถานะที่ดีกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2551 นอกจากนี้ ยังมีฐานลูกค้าทั้งในฝั่งสินเชื่อและเงินรับฝากที่กระจายตัวไปในกลุ่มรายย่อย ภาคธุรกิจ และ SMEs

สำหรับตลาดการเงินโลกยังเห็นความกังวลของนักลงทุนอยู่บ้าง สะท้อนจากราคาหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังผันผวนสูง และราคาในการประกันความเสี่ยงของภาคธนาคารที่เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดการเงินไทยได้รับผลกระทบจากปัจจัยตลาดโลกข้างต้นจำกัดจากความเชื่อมโยงที่ต่ำต่อกลุ่มธนาคารที่ประสบปัญหา โดย ธปท. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

อ่านข่าวอื่นๆเพิ่มเติม ได้ที่นี่ : สรรพากรเตรียมเช็กบิลคนฝากเงินนอกประเทศ!

สรรพากรเตรียมเช็กบิลคนฝากเงินนอกประเทศ!

นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพากร ได้เตรียมจัดตั้งกองปฏิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ

เพื่อรองรับการปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศ เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยมีความร่วมมือและมีข้อตกลงกับนานาประเทศ ในการปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศให้เป็นไปตามข้อตกลง ซึ่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศสมาชิกนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรเท่านั้น

ทั้งนี้ สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีเงินฝากระหว่างประเทศนั้น ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. ….ได้ผ่านความเห็นชอบจาก ครม. และผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระหนึ่ง เตรียมเสนอเข้าสู่วาระสองและสามตามลำดับขั้นตอนต่อไปนั้น ซึ่งตามแผนการจะให้มีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ และเริ่มจัดเก็บภาษีในปีหน้า

ข่าวการเงิน

ดังนั้น กรมสรรพากรต้องเตรียมความพร้อมรองรับ นอกจากตั้งกองปฏิบัติตามพันธะกรณีระหว่างประเทศแล้ว ยังต้องหารือกับสถาบันการเงินภายในประเทศ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ว่าข้อมูลประเภทใดที่อยู่ในข่ายต้องส่งมาให้กรมสรรพากรเพื่อจัดส่งข้อมูลนั้นให้กับประเทศสมาชิกที่มีข้อตกลงร่วมกัน และในอนาคตอาจจะขยายการแลกเปลี่ยนข้อมูลสินทรัพย์ประเภทอื่นๆต่อไป

โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านบัญชีเงินฝากระหว่างประเทศยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ หากคนไทยที่มีบัญชีเงินฝากในต่างประเทศที่มีข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลนี้ร่วมกัน จะต้องส่งข้อมูลบัญชีเงินฝากของคนไทยกลับมาให้กับกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบว่า รายได้เหล่านั้นได้มีการเสียภาษีที่ถูกต้องแล้วหรือยัง ในทางกลับกันประเทศไทยก็จะต้องส่งข้อมูลบัญชีเงินฝากของคนต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย ไปให้กับประเทศที่มีข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีเช่นกัน

อ่านข่าวเพิ่มเติม : ดุลการค้าของจีนร่วงลงเกินคาดในเดือน พ.ย. ผลจากโควิดระบาด

ดุลการค้าของจีนร่วงลงเกินคาดในเดือน พ.ย. ผลจากโควิดระบาด

ดุลการค้าของจีนหดตัวมากกว่าที่คาดไว้ในเดือนพฤศจิกายน ข้อมูลแสดงเมื่อวันพุธ เป็นสาเหตุมาจากการหยุดชะงักอย่างต่อเนื่องจากการล็อกดาวน์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด ทำให้ทั้งการส่งออกและการนำเข้าลดลงในระหว่างเดือน

ข่าวการเงิน

ดุลการค้า ของประเทศลดลงเหลือ 69.84 พันล้านดอลลาร์ในเดือนพฤศจิกายน จาก 85.15 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า ข้อมูลเปิดเผยจากกรมศุลกากร ตัวเลขพลาดการประมาณการที่ 79.05 พันล้านดอลลาร์ ขณะนี้ดุลการค้าของจีนอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่การล็อกดาวน์ทั่วประเทศในเดือนพ.ค.

การส่งออก หดตัวในอัตราที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2020 โดยลดลงมากกว่าที่คาดไว้ 8.7% เมื่อเทียบกับที่คาดการณ์ไว้ซึ่งจะลดลง 3.6%

การนำเข้า ของจีนแย่ลงไปอีก โดยหดตัว 10.6% เป็นการลดลงรายเดือนที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่กลางปี 2020 และยังลดลงมากเป็นสองเท่าจากที่คาดไว้ว่าจะลดลง 5%

การอ่านค่าได้แสดงให้เห็นถึงบทสรุปที่เป็นรอยร้าวลึกที่ดำเนินอยู่ในเศรษฐกิจจีน เนื่องจากต้องรับมือกับมาตรการต่อต้านโควิดที่ทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าอย่างทุลักทุเล และยังมีการบังคับใช้อีกครั้งท่ามกลางการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์

นี่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการลดลงของการนำเข้า เนื่องจากการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นทำให้อุปสงค์ในท้องถิ่นตึงเครียดอย่างรุนแรง

แต่ความต้องการสินค้าจีนในต่างประเทศที่ลดน้อยลงยังทำให้ภาคการผลิตขนาดมหึมาของประเทศซบเซา และทำให้การส่งออกลดลง ท่ามกลางความหวาดกลัวที่เพิ่มขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

ถึงกระนั้น หลายเมืองของจีนได้ผ่อนคลายข้อจำกัดต่อต้านโควิดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากการประท้วงต่อต้านนโยบายปลอดโควิดที่เข้มงวดของรัฐบาลอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

สิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

รายงานจากสื่อยังแนะนำว่ารัฐบาลกำลังเตรียมพร้อมที่จะลดความเข้มงวดของนโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับเศรษฐกิจลงอีก เนื่องจากการเติบโตได้ชะลอตัวลงอย่างมากในประเทศ

การอ่านค่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของจีนที่เป็นดัชนีผสมในเดือนพฤศจิกายนแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของจีนอยู่ในภาวะคับขันเนื่องจากท่าทีต่อต้านนโยบายควบคุมโควิดของภาคประชาชน

การล็อกดาวน์ในศูนย์กลางอุตสาหกรรม เช่น เซี่ยงไฮ้และอู่ฮั่น ทำให้กิจกรรมการผลิตหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ความเชื่อมั่นในหมู่ผู้ผลิตแย่ลง ภาคบริการขนาดใหญ่ของประเทศก็หดตัวลงเช่นกัน ในขณะที่ การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตทางเศรษฐกิจ ชะลอตัวลงจนอยู่ในระดับต่ำในช่วงเดือนดังกล่าว

ค่าเงินหยวนจีน กำไรลดลงบางส่วนหลังจากข้อมูลของวันพุธ แต่ซื้อขายเพิ่มขึ้น 0.2% เป็น 6.9846 เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แนะนำเพิ่มเติม>>> กรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงรุ่นใหม่ ดอกเบี้ย 4.4% คุ้มครองเงินต้น 100%

กรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงรุ่นใหม่ ดอกเบี้ย 4.4% คุ้มครองเงินต้น 100%

กรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงรุ่นใหม่ ดอกเบี้ย 4.4% คุ้มครองเงินต้น 100%

การเงิน

กรุงไทย เปิดขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงรุ่นใหม่ กรุงไทย Step-up Callable Note ดอกเบี้ยสูงสุด 4.4% การันตีคุ้มครองเงินต้น 100% ดีเดย์ 23-25 พ.ย. 65 นี้

เมื่อวันที่ 18 พ.ย. 65 นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะตลาดโลกที่มีความผันผวนสูง โดยธนาคารกรุงไทยเป็นผู้นำในการออกหุ้นกู้อนุพันธ์ปี 2565 จำนวนกว่า 18,000 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นในการคุ้มครองเงินต้น 100% ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยรุ่นล่าสุดคือ หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Krungthai Fixed Range Inverse Floater จากความสำเร็จและผลตอบรับที่ดี

ล่าสุด ธนาคารได้ออกและเสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Step-up Callable Note อายุ 5 ปี ประเภทไม่ด้อยสิทธิ์ ซึ่งยังคงชูจุดแข็งคุ้มครองเงินต้น 100% โดยธนาคารกรุงไทยที่มีอันดับเครดิตระดับ AAA จ่ายดอกเบี้ยคงที่แบบขั้นบันไดทุก 3 เดือน ตลอดระยะเวลาการถือครอง ดอกเบี้ย (ต่อปี) 1.60%, 2.30%, 3.00%, 3.70%, และ 4.40% ตามลำดับปีที่ 1-ปีที่ 5

โดยมีเงื่อนไขธนาคารสามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้หลังปีที่ 1 เป็นต้นไป และทุกงวดการจ่ายดอกเบี้ยตลอดครบอายุสัญญา ผลตอบแทนที่ได้รับจาก หุ้นกู้อนุพันธ์กรุงไทย Step-up Callable Note มีโอกาสสูงกว่าทางเลือกการลงทุนอื่นประเภทไม่ด้อยสิทธิ์ที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียงกัน

ทั้งนี้ ธนาคารเตรียมเสนอขายแก่ผู้ลงทุนรายใหญ่ และผู้ลงทุนสถาบัน วงเงินลงทุนขั้นต่ำ 5 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 23-25 พ.ย. 65 ผ่านธนาคารกรุงไทยทุกสาขา.